วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ใบงานที่ 1 เรื่อง โครงงานคอมพิวเตอร์ (Computer Project)

1.โครงงาน คืออะไร ..


โครงงานเป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายๆสิ่งที่อยากรู้คำตอบให้ลึกซึ้งหรือเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆให้มากขึ้น โดยใช้กระบวนการ วิธีการที่ศึกษาอย่างมีระบบ เป็นขั้นตอนมีการวางแผนในการศึกษาอย่างละเอียด ปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้จนได้ข้อสรุปหรือผลสรุปที่เป็นคำตอบในเรื่องนั้นๆ


2.ความหมายโครงงานคอมพิวเตอร์


โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมการเรียนที่นักเรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนสนใจ โดยนักเรียนจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ความรู้ กระบวนการทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และวัสดุอุปกรณ์ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้นหรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข


3.ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์

1.การพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรม บทเรียน หรือหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งอาจต้องมีแบบฝึกหัดทบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อมให้ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม การสอนด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้ อาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบออนไลน์ ให้ผู้เรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองโดยผู้เรียนอาจคัดเลือกเนื้อหาที่เข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ตัวอย่างโครงงานประเภทนี้ เช่น การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน พลังงานทดแทน อาหารสี่ภาค สถานที่ท่องเที่ยวมหัศจรรย์ในเมืองไทย สนุกกับตารางธาตุ สำนวนไทยพาสนุกท่องเที่ยวมหัศจรรย์ในเมืองไทย สนุกกับตารางธาตุ สำนวนไทยพาสนุก


2.การพัฒนาเครื่องมือ โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือช่วยสร้างงานประยุกต์ต่างๆโดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปชอฟต์และเครื่องมือ ตัวอย่างโครงงานประเภทนี้เช่น ซอฟต์แวร์ระบบงานการกีฬา ซอฟต์แวร์สารบรรณสำเร็จรูป ซอฟต์แวร์ระบบฐานข้อมูลทางการแพทย์เบื้องต้น เครื่องช่วยคนพิการแขนอ่านหนังสือเครื่องรดน้ำต้นไม้และให้อาหารปลาผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เครื่องให้อาหารไก่อัตโนมัติ หุ่นยนต์ทำงานบ้า
หุ่นยนต์อาชิโมเป็นโครงงานคอมพิวเตอร์ประเภทการพัฒนาเครื่องมือ

3. การทดลองทฤษฎี โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจำลองงาน ไม่สามารถทดลองด้วยสถานการณ์จิรงได้และเป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริง และแนวคิดต่างๆ แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือ คำอธิบาย พร้อมทั้งการจำลองทฤษฎีด้วยคอมพิวเตอร์ให้ออกมาเป็นภาพ ภาพที่ได้ก็จะเปลี่ยนไปตามสูตรหรือสมการนั้น  ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น การทำโครงงานประเภทนี้ มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี  ตัวอย่างโครงงานประเภทนี้  เช่น  การจุดระเบิด การเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ การทดลองเรื่องการไหลของของเหลว การทดลองเรื่องการมองเห็นวัตถุแบบสามมิติ
4. การประยุกต์ใช้งาน โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน โดยประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์  หรืออุปการณ์ใช้สอยต่างๆ ซึ่งอาจเป็นการคิดสร้างสิ่งของขึ้นใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบและพัฒนาสิ่งของนั้น ๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์โครงงานประเภทนี้ผู้เรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ภาษาโปรแกรมและเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างโครงงานประเภทนี้ เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งภายในอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี ซอฟต์แวร์การเลือกเครื่องเรือนให้เหมาะสมกับขนาดและสีของห้อง
5. การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ โครงงานประเภทนี้เน้นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมประยุกต์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเพื่อใช้เฉพาะงาน ตัวอย่างโครงงานประเภทนี้ เช่น โปรแกรมคัดแยกลูกค้าของธนาคาร โปรแกรมการจัดรายการอาหารให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาล

ขอขอบคุณ https://sites.google.com/site/neuxhakhorngngankhxmphiwtexr/prapheth-khxng-khorng-ngan-khxmphiwtexr

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562

แบบทดสอบ

1.describe the meaning of the ISP and For Example 3 companies.


Internet Service Provider
    การเข้าสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ตในแต่ละครั้งเราจำเป็นต้องเข้าผ่าน ISP ซึ่ง ISP จะเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่น ๆ ทั้งนอก และในประเทศ ซึ่งเราจะเปรียบเทียบ ISP เป็นเหมือนกับประตูทางเข้าออกของข้อมูลนั้นเอง แล้ว 
    บริษัทที่ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยผู้ให้บริการจะเชื่อมโยงลูกค้าเข้ากับเทคโนโนยีรับส่งข้อมูลที่เหมาะสมในการส่งผ่านอุปกรณ์ Protocol (โปรโตคอล) อย่างเช่น ไดอัล, ดีเอสแอล, เคเบิลโมเด็ม, ไร้สาย หรือการเชื่อมต่อระบบไฮสปีด ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ISP เป็นองค์กรที่ให้บริการสำหรับการเข้าถึงและการใช้ที่ อินเตอร์เน็ต ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตอาจจะจัดในรูปแบบต่างๆ เช่น เชิงพาณิชย์ ชุมชนที่เป็นเจ้าของ  ไม่แสวงหาผลกำไร หรือ ของเอกชน ซึ่งผู้ใช้หรือลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของหรือมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองรวมไปถึงบริษัทก็ต้องมีการจดทะเบียน หรือที่เรียกกันว่า จดทะเบียนโดเมนนั้นเองครับ
    บริการอินเทอร์เน็ตที่ให้บริการโดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตมักจะรวมถึง อินเทอร์เน็ต  การขนส่งอินเทอร์เน็ต  ชื่อโดเมน ลงทะเบียน เว็บโฮสติ้ง เป็นต้น

ตัวอย่างบริการ
-truemove
-CAT
-TOT


2.Write a computer setup procedure  and explain it in detail.


ขั้นตอนที่ 1: ตั้งค่า Windows Update ให้ทำการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ไดร์เวอร์โดยอัตโนมัติ

ตรวจสอบว่าคอมพิวเตอร์ของคุณตั้งค่าให้ดาวน์โหดไดร์เวอร์อัตโนมัติหรือไม่
  1. ค้นหา change device installation (เปลี่ยนการติดตั้งอุปกรณ์) จาก Windows จากนั้นคลิกที่ค่าแผงควบคุม Change device installation settings (เปลี่ยนค่าการติดตั้งอุปกรณ์) ในรายการผลการค้นหา
    หน้าต่าง Device Installation Settings (ค่าการติดตั้งอุปกรณ์) จะเปิดขึ้นมา
  2. เลือกตัวเลือก Yes (ใช่) จากนั้นคลิกเลือก Save Changes (บันทึกการเปลี่ยนแปลง)
    ตัวอย่างการเลือกตัวเลือก Yes (ใช่)

ขั้นตอนที่ 2: ต่อเครื่องพิมพ์เข้ากับคอมพิวเตอร์

ต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครื่องพิมพ์ก่อนเริ่มการติดตั้งไดร์เวอร์
เชื่อมต่อเครื่องพิมพ์กับคอมพิวเตอร์โดยใช้สาย USB
  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เปิดอยู่และเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต
  2. เปิดเครื่องพิมพ์
  3. เชื่อมต่อสาย USB เข้ายังพอร์ตที่ด้านหลังของเครื่องพิมพ์  แล้วจึงต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์
    สาย USB
  4. หากหน้าต่าง Found new hardware (พบฮาร์ดแวร์ใหม่) แสดงขึ้นมา ให้ทำตามข้อความที่แจ้งเพื่อติดตั้งไดร์เวอร์ และจากนั้นลองพิมพ์ใหม่อีกครั้ง

ขั้นตอนที่ 3: ติดตั้งไดร์เวอร์เครื่องพิมพ์โดยใช้ Add Printer wizard

ใช้ Windows Add Printer เพื่อติดตั้งไดร์เวอร์การพิมพ์ในตัว
ติดตั้งไดร์เวอร์เครื่องพิมพ์ในตัวผ่านการเชื่อมต่อเครือข่ายในระบบ Windows 10 หรือ Windows 8
  1. ค้นหา control จาก Windows จากนั้นคลิกที่ Control Panel (แผงควบคุม) ในผลการค้นหา
  2. คลิกที่ View devices and printers (ดูอุปกรณ์และเครื่องพิมพ์)
  3. คลิก Add a printer (เพิ่มเครื่องพิมพ์)
    การคลิกเลือก Add a printer (เพิ่มเครื่องพิมพ์)
    หน้าต่าง Choose a device or printer to add to this PC (เลือกอุปกรณ์หรือเครื่องพิมพ์ที่จะเพิ่มไปยัง PC นี้) จะเปิดขึ้นมา
    ตัวอย่างเครื่องพิมพ์ที่พบในหน้าต่าง Choose a device or printer to this Computer (เลือกอุปกรณ์หรือเครื่องพิมพ์ที่จะเพิ่มไปยัง PC นี้)
    • หากเครื่องพิมพ์ของคุณอยู่ในรากยาร ให้เลือกรายการ จากนั้นคลิกเลือก Next (ถัดไป) จากนั้นทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อติดตั้งไดร์เวอร์
    • หากเครื่องพิมพ์ของคุณไม่อยู่ในรายการ ให้เข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
  4. คลิกที่ The printer I want isn't listed (เครื่องพิมพ์ที่ฉันต้องการไม่อยู่ในรายการ) จากนั้นเลือก Add a local printer or network printer with manual settings (เพิ่มเครื่องพิมพ์ภายในหรือเครื่องพิมพ์เครือข่ายที่ใช้ค่าแมนวล)
    การเลือก Add a printer (เพิ่มเครื่องพิมพ์) โดยใช้เครื่องพิมพ์ภายในหรือเครื่องพิมพ์เครือข่ายที่ปรับใช้ค่าแมนวล
  5. คลิก ถัดไป
  6. เลือกพอร์ตที่เครื่องพิมพ์จะใช้ เช่น USB001 สำหรับเครื่องพิมพ์ที่ต่อผ่าน USB จากนั้นคลิกที่ Next
  7. คลิกที่ Windows Update (อัพเดต Windows) จากนั้นรอให้ไดร์เวอร์เครื่องพิมพ์ทำการอัพเดต
  8. คลิก HPHewlett-Packard หรือ Hewlett Packard จากแถบคำสั่ง Manufacturer (ผู้ผลิต) จากนั้นคลิกที่ชื่อเครื่องพิมพ์ของคุณในแถบคำสั่ง Printers (เครื่องพิมพ์)
    • หากเครื่องพิมพ์ของคุณอยู่ในรากยาร ให้เลือกรายการ จากนั้นคลิกเลือก Next (ถัดไป) จากนั้นทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อติดตั้งไดร์เวอร์
    • หากเครื่องพิมพ์ไม่อยู่ในรายการ ให้คลิกที่ลูกศรย้อนกลับที่มุมด้านซ้ายบนของหน้าต่างสองครั้งเพื่อกลับไปยังขั้นตอนการค้นหาเครื่องพิมพ์ผ่านตัวเลือกอื่น จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
  9. เลือก Add a printer using TCP/IP address or hostname (เพิ่มเครื่องพิมพ์ผ่านที่อยู่ TCP/IP หรือชื่อโฮสต์) จากนั้นคลิก Next (ถัดไป)
    การเลือก Add a printer (เพิ่มเครื่องพิมพ์) โดยใช้ที่อยู่ TCP/IP หรือชื่อโฮสต์
  10. เลือก Autodetect (ตรวจหาอัตโนมัติ) จากส่วนแสดงรายการ Device type (ประเภทอุปกรณ์)
  11. พิมพ์ที่อยู่ IP เครื่องพิมพ์ในกล่องข้อความ จากนั้นคลิก Next (ถัดไป)
    ค้นหาที่อยู่ IP เครื่องพิมพ์ โดยพิมพ์รายงานทดสอบเครือข่ายไร้สายหรือหน้าค่าปรับตั้งเครื่องข่าย
  12. รอให้คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับเครื่องพิมพ์ จากนั้นคลิก Next (ถัดไป) เพื่อติดตั้งไดร์เวอร์เครื่องพิมพ์

ขั้นตอนที่ 4: พิมพ์เอกสาร

สั่งพิมพ์เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องพิมพ์ทำงานได้ตามปกติ

ขั้นตอนที่ 5: สแกนเอกสาร (หากระบบรองรับ)

สแกนเอกสารเพื่อให้แน่ใจว่าสแกนเนอร์ทำงานตามปกติ

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Network Interface Card (NIC)


Network Interface Card (NIC)


Network Interface Card (NIC) หรือที่เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่า แลนการ์ด (LAN Card)เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ในการต่อกับระบบเครือข่ายปัจจุบัน LAN Card ที่นิยมจะเป็นแบบหัว RJ-45 โดยจะมีให้เลือกอยู่ 2 แบบ คือ แบบเป็นแผ่นการ์ด สำหรับเสียบเข้าช่องสลอต PCI บนเมนบอร์ด และ แบบที่ที่ฝั่งอยู่บนตัวเมนบอร์ด (Onboard LAN Card) อัตราข้อมูลที่สามารถส่งผ่านมีได้หลายระดับ เช่น 10 Mbps, 100 Mbps, 1000 Mbps


ดังนั้น Network Interface Card (NIC) หมายถึง แผงวงจรสำหรับใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย จะติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย และเครื่องที่เป็นลูกข่าย


หน้าที่Network Interface Card (NIC) คือ แปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ ทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้


ในอดีตการ์ดเน็ตเวิร์กจะเป็นแบบบัส ISA ซึ่งใช้เสียบลงไปบนสลอต ISA บนเครื่องคอมพิวเตอร์และต้องมานั่งเซตจั๊มเปอร์ของ IRQ. Address เพื่อไม่ให้ไปชนกับอุปกรณ์อื่นๆ อีกด้วย









เป็นการ์ดเน็ตเวิร์กแบบบัส ISA


ซึ่งปัจจุบันไม่นิยมใช้งานแล้ว จะเห็นว่าที่ด้านหลังมีขั้วเชื่อมต่อแบบ RJ-4,BNC และ Au ขั้วเชื่อมต่อแบบ RJ-4 จะต้องทำงานร่วมกับกล่องฮับส่วนขั้วเชื่อมต่อแบบ BNC ไม่ต้องใช้ฮับร่วมทำงานเพราะใช้ T-Connector และTerminator (ตัวปิดหัวท้าย)แทนการ์ดเน็ตเวิร์กจะมีหลายแบบด้วยกัน ขึ้นอยู่กับสลอตบนเครื่องคอมพิวเตอร์เช่น ISA, PCI, PCMCIA USB Port หรือ Compact Flash


เป็นการ์ดเน็ตเวิร์กแบบบัส PCI


PCI (Peripheral Component Interconnect) เป็นระบบบัสที่ได้รับความนิยมสูงมาก ซึ่งได้เข้ามาแทนบัสแบบ ISA PCI บัสมีอัตราการส่งผ่านข้อมูลสูงถึง 133 เมกกะไบต์ต่อวินาทีนอกจากนี้ยังสามารถ กำหนดค่า IRQ,DMA, Memory Address ให้อุปกรณ์และการ์อินเทอร์เฟซอัตโนมัติ เมื่อเสียบการ์ดเน็ตเวิร์ก แบบ PCI ลงไปบนเครื่องแล้ว ส่วนมาจะมองเห็นและใช้งานได้ทันที
PCMCIA (Personal Computer Memory Card International Association) เป็นการ์ดเสียบขนาดเล็ก เท่ากับบัตรเครดิตเป็นอุปกรณ์ขยายระบบให้คอมพิวเตอร์ Notebook เช่น การ์ดหน่วยความจำ แฟกซ์ โมเด็มการ์ดเน็ตเวิร์ก หรือ ฮาร์ดดิสก์ขนาดเล็ก

เป็นการ์ดเน็ตเวิร์กแบบบัส USB Port
USBPort (Universal Serial Bus)เป็นพอร์ตเชื่อมต่อแบบใหม่ที่สามารถจะนำอุปกรณ์เข้ามาเชื่อมต่อได้ จำนวนมากถึง100 กว่าตัว

Hub

Hub คืออะไร

Hub หรือ Ethernet hub, active hubnetwork hubrepeater hubmultiport repeater ทั้งหมดนี้เรียกง่ายๆว่า Hub และส่วน hub คืออะไร ? มันคืออุปกรณ์ network อย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่ เชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นใน network เข้าด้วยกันและสร้างมันจนเป็นระบบ network ลักษณะ hub คือมีช่อง input/output (I/O) port หลายช่อง ไว้สำหรับรับส่งสัญญาณ
Hub ทำงานในระดับ Physical layer (layer 1) ถ้าเทียบใน OSI model เช่น repeter hub ทำหน้าที่หลบเลี่ยงการชนกันของช่องสัญญาณ และจัดการช่องสัญญาณให้กับทุก port ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วย Switch แล้ว ยกเว้นระบบเก่าๆที่ติดตั้งมานานก่อนปี 2011
hub port

การใช้งาน Hub

1. การทำงานของ Physical layer

Hub เป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีความซับซ้อนถ้าเทียบกับ Switch เพราะการทำงาน เป็นเพียงแค่ repeater ที่มีหลาย port ทำงานโดย repeating bits ที่ได้รับจาก port หนึ่งไปยังอีก port หนึ่ง โดยจะคอยตรวจสอบ packet ในระดับ physical layer ไม่ให้เกิดการชนกัน (Jam signal) ภายใน hub/repeater ไม่มี memory สำหรับเก็บข้อมูล โดย packet จะถูก retransmit ถ้าเกิด packet lost ก่อนที่ปลายทางจะได้รับ

2. เชื่อมต่อกันระหว่าง hub ด้วยกัน

เนื่องจากความสามารถในการตรวจสอบการชนกันของ packet และ ขนาดของ network ที่เชื่อมด้วย hub นั้นมีจำกัด (สำหรับ switch แล้วไม่มีข้อจำกัดนี้) ด้วยความเร็ว 10 Mb/s สามารถทำได้ด้วย hub  แต่สำหรับ 100 Mb/s ขึ้นไปค่อนข้างยากแล้ว ต้องเปลี่ยนไปใช้ switch แทน

4. Fast Ethernet

100 Mb/s hub และ repeater มีด้วยกัน 2 ระดับ (Class)
  • Class I: สัญญาณ delay สูงสุด 140 bit (00Base-TX, 100Base-FX, 100Base-T4)
  • Class II: สัญญาณ delay สูงสุด 92 bit (ใช้ 2 hub ใน 1 domain)

5. Dual-speed hub

ก่อนหน้านี้ switch มีราคาแพง hun จึงถูกใช้งาน และ อุปกรณ์อื่นเองก็รองรับเพียงแค่ 10 Mb/s แต่ถ้ามีอุปรณ์ที่รองรับสูงกว่านั้น ก็จะใช้งานได้เพียง 10 Mb/s เช่นกัน จึงได้มีการคิดค้น dual-speed hub ที่ทำ bridge  10 Mb/s และ 100 Mb/s  แยก port กันออกมา แต่ก็ยังคงเรียกว่า Hub เพราะ traffic ที่วิ่งกันยังเชื่อมต่อด้วย speed เท่าเดิม ไม่เหมือน switch

6. Gigabit Ethernet hub

มีการทำ repeater hub ในระดับ Gigabit Ethernet ออกมา แต่การตลาดของสินค้าไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากถูกแทนที่ด้วย Switch ไปเรียบร้อยแล้ว

*** สัญลักษณ์ Hub ในระบบ Network คือ
hub-symbol

Router

Router คืออะไร

Router คือ อุปกรณ์ network ที่ทำหน้าที่รับส่ง data packet ระหว่างอุปกรณ์ เช่นเดียวกับ hub และ switch โดย Router จะพิเศษตรงที่ใช้งานกับ traffic บน internet โดยข้อมูลปกติจะถูกส่งต่อระหว่าง router ด้วยกันผ่านระบบ network ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงปลายทาง ซึ่ง router สามารถต่อเข้ากับ network ได้หลาย network และจะมีการเก็บข้อมูลที่เรียกว่า routing table หรือ routing policy ไว้ใช้ในการเลือกเส้นทางที่จะส่งข้อมูลข้าม network
ปัจจุบัน router ถูกใช้งานมากใน ที่อยู่อาศัย และ office ขนาดเล็ก ทำหน้าที่ส่ง IP packet ระหว่าง computer ภายในบ้านไปสู่ internet ตัวอย่างเช่น DSL router ที่ใช้งานเชื่อมต่อ internet ไปยัง Internet service provider (ISP) และส่วนระบบ router ขั้นสูง ได้แก่ enterprise routers ที่เชื่อมต่อธุรกิจขนาดใหญ่ หรือ ISP network ทำการส่งข้อมูลความเร็วสูงผ่านทาง optical fiber ไปยัง internet backbone
router

การทำงานของ Router

เมื่อมีการนำ router หลายๆตัวมาทำเป็น interconnected networks ซึ่ง router สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลของอุปกรณ์ปลายทางด้วย dynamic routing protocol โดยแต่ละ router จะสร้าง routing table ขึ้นมาเป็น list ที่ระบุเส้นทางระหว่างอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันใน interconnected networks
router เองอาจจะมีการเชื่อมต่อระดับ physical ที่แตกต่างกันเช่นใช้ ทองแเดง, fiber optic หรือ wireless ซึ่ง firmware สามารถรองรับมาตราฐานของ protocol ที่แตกต่างกันได้ และยังสามารถเชื่อมต่อในลักษณะ logical group หรือที่เรียกกันว่า subnet ซึ่ง routing table เองก็สามารถใช้ prefix subnet เป็นเงือนไขในการเลือกเส้นทาง แทนที่จะต้องจดจำแยกทุก IP address
Router มีขั้นตอนการทำงานดังนี้
Control plane: router เก็บ routing table ที่เป็นชุดเส้นทางสำหรับการส่งข้อมูลออกไปยังปลายทาง รวมถึง physical interface ซึงทำได้โดย configure ที่ติดมาแต่เริ่มแรกทีเรียกว่า static route หรือ อาจจะใช้การเรียนรู้ผ่าน dynamic routing protocol สำหรับ static หรือ dynamic route จะถูกเก็บใน Routing Information Base (RIB) และ เมื่อเอามากรองส่วนที่ไม่จำเป็นออกจาก RIB เพื่อสร้างเป็น Forwarding Information Base (FIB) สำหรับให้ forwarding-plane ทำงาน
Forwarding plane: router จะทำการส่งข่อมูล packet ทั้งขาเข้าและขาออก โดยอาศัยเส้นทางจาก routing table

*** สัญลักษณ์ Router ในระบบ Network คือ
router

Switch

Switch คืออะไร

Network switch หรือ switching hub, bridging hub switch คืออะไร ? switch เป็นอุปกรณ์ในระบบ computer network เช่นเเดียวกับ Hub ทำหน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆเข้าด้วยกันในระบบ โดยอาศัยการทำ packet switching ซึ่งจะ รับ, ประมวลผล และส่งข้อมูลต่อไปยังปลายทาง เพียงแค่หนึ่ง หรือ หลาย port ไม่ใช่การ broadcast ไปทุก port เหมือนกับ hub
Switch จะมีด้วยกันหลาย port มีการระบุที่อยู่ (address) ประมวลผลก่อนที่จะ ส่งข้อมูลต่อไปในระดับ data link layer (layer 2) ใน OSI model บาง switch สามารถประมวลผลในระดับ network layer (layer 3) ซึ่งจะเป็นความสามารถในการทำ routing ซึ่งมักจะใช้งานกับ IP address เพื่อทำ packet forwarding เรามันจะเรียกว่า L3-Switch หรือ multilater switch
switch

คุณสมบัติของ Switch

เป็นอุปกรณ์ อิเล็คทรอนิค ทีเชื่ออุปกรณ์ network เข้าด้วยกัน โดยอาศัยสาย cable ต่อเข้ากับ port แต่ละอุปกรณ์ และยังสามารถจัดการเชื่อมต่อระหว่าง network ได้ อุปกรณ์แต่ละตัวที่ต่อเข้ากับ switch จะได้รับ network address เป็นตัวบอกตัวตนของแต่ละอุปกรณ์ เพื่อให้การส่งข้อมูล packet ไปถึงได้ถูกต้องและเจาะจง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับ network


1. การทำงานของ switch

Switch ทำงานในระดับ data link layer (layer 2) มีการแบ่ง collision domain ของแต่ละ port เพื่อให้สามารถส่งข่อมูลหากันได้ในเวลาเดียวกันโดยไม่ชนกันได้ แต่ด้วยคุณสมบัติ half duplex mode ทำให้ port เดียวกันทำหน้าที่ ส่ง หรือ รับ ข้อมูลได้อย่างใดอย่างนึงเท่านั้นในช่วงเวลานั้น แต่ถ้าอุปกรณ์ที่ต่อรองรับ full duplex mode ก็จะสามารถส่งและรับข้อมูลได้ในเวลาเดียวกัน
จะเห็นได้ว่าถ้าเทียบกับ repeater hub แล้ว การส่งข้อมูลทำได้เพียงแต่ port เดียวในช่วงเวลานั้น จากคุณสมบัติที่ต้อง broadcast รวมถึงทำงานแบบ half duplex ทำให้ bandwidth ที่ได้ค่อนข้างต่ำ จากการชนกันของ packet และต้อง retransmit บ่อยครั้ง

2. การใช้งาน switch

Network switch มีบทบาทใน Ethernet local area networks (LANs) อย่างมาก ตั้งแต่ระบบ ขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ LAN จะประกอบด้วย switch จำนวนหนึง ที่ทำหน้าที่จัดการระบบ network เช่น Small office/home office (SOHO) อาจจะใช้ switch เพียงตัวเดียว รวมถึง office ขนาดเล็ก หรือ ที่พักอาศัย ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจจะนำไปเชื่อมต่อกับ router เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อ ineternet หรือ ทำ Voice over IP (VoIP)

3. Microsegmentation

การแบ่ง segment ที่ใช้ใน bridge หรือ switch (router) เพื่อแบ่ง collision domain ขนาดใหญ่ออกเป็นขนาดเล็ก เพื่อลดการชนกันของ packet รวมถึงเพิ่ม throughput ให้กับ network ในการทำงานขั้นสูง อุปกรณ์แต่ละตัวจะได้รับการเชื่อมต่อ port ของตัวเอง ซึ่งแต่ละ port จะแยก collision domain เป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้แต่ละ อุปกรณ์สามารถใช้งาน bandwidth ต่างกันตามการรองรับได้อีกทั้งยังทำ Full-duplex mode ได้

ประเภทของ Switch

  • L1-Switch: ทำงานระดับ Physical layer ทำหน้าที่เช่นเดียวกับ hub เป็นเหมือน repeater ทำหน้าที่ broadcast ข้อมูลไปทุกๆ port ทำให้ติดข้อจำกันเรื่องความเร็ว
  • L2-Switch: ทำงานระดับ Data link later ทำหน้าที่เป็น network bridge ซึ่ง switch ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ มีประสิทธิภาพสูงกว่า hub หรือ L1-switch
  • L3-Switch: ทำงานระดับ Network layer ทำหน้าที่เป็น router มีคุณสมบัติ IP multicast ส่งข้อมูลให้เป็น group ได้

*** สัญลักษณ์ Switch ในระบบ Network คือ
switch icon

Bridge

บริดจ์ (Bridge) คือ อะไร

      บริดจ์ เป็นอุปกรณ์เชื่อมโยงเครือข่ายของเครือข่ายที่แยกจากกัน แต่เดิมบริดจ์ได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับเครือข่ายประเภทเดียวกัน เช่น ใช้เชื่อมโยงระหว่างอีเทอร์เน็ตกับ อีเทอร์เน็ต (Ethernet) บริดจ์มีใช้มานานแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ.1980บริดจ์จึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างสองเครือข่ายการติดต่อภายในเครือข่ายเดียวกันมีลักษณะการส่ง ข้อมูลแบบกระจาย(Broadcasting)ดังนั้นจึงกระจายได้เฉพาะเครือข่ายเดียวกันเท่านั้นการรับส่งภายในเครือข่ายมีข้อกำหนดให้แพ็กเก็ตที่ส่งกระจายไปยังตัวรับได้ทุกตัว แต่ถ้ามีการส่งมาที่แอดเดรสต่างเครือข่ายบริดจ์จะนำข้อมูลเฉพาะแพ็กเก็ตนั้นส่งให้บริดจ์จึงเป็นเสมือนตัวแบ่งแยกข้อมูลระหว่างเครือข่ายให้มีการสื่อสารภายในเครือข่าย ของตน ไม่ปะปนไปยังอีกเครือข่ายหนึ่ง เพื่อลดปัญหาปริมาณข้อมูลกระจายในสายสื่อสารมากเกินไป ในระยะหลังมีผู้พัฒนาบริดจ์ให้เชื่อมโยงเครือข่ายต่างชนิดกันได้ เช่น อีเทอร์เน็ตกับโทเก็นริง เป็นต้น หากมีการเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่าสองเครือข่ายเข้าด้วยกัน และเครือข่ายที่เชื่อมมีลักษณะหลากหลาย ซึ่งเป็นทั้งเครือข่ายแบบ LAN และ WAN อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเชื่อมโยงคือ เราเตอร์ (Router)
บริดจ์ เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน (LAN Segments)เข้าด้วยกันทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LANออกไปได้เรื่อยๆโดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบไม่ลดลงมากนักเนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่งผ่านไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Data Link Layerจึงทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันในระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็นต้น

Bridge ทำงานอย่างไร

การทำงานของ Bridge

        หลักการทำงานของ Bridge จะดูแลข้อมูลที่ส่งโดยพิจารณาหมายเลขของเครื่อง หรือตามศัพท์ทางเครือข่าย คือ Media Access Control (MAC Address หรือ Station Address) Bridge จะทำงานใน Data Link Layer หรือ Layer ที่ 2 ของ OSI โมเดล คือ มองข้อมูลที่รับส่งกัน เป็น Packet แล้วเท่านั้น โดยไม่ต้องสนใจโปรโตคอลสื่อสารที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็น IP หรือ IPX หรือโปรโตคอลใด ๆ หรือก็คือ ไม่ว่าจะเป็น Packet อะไรส่งออกมาในเครือข่าย Bridge จะดูเฉพาะ Address ปลายทางแล้วถ้าพบว่าเป็นเครื่องที่อยู่คนละฟากกันก็จะส่งต่อให้เท่านั้น ไม่สนใจว่าการส่งให้ถึงเครื่อง ที่เป็นผู้รับปลายทางนั้นอาจทำได้หลายเส้นทางต่าง ๆ กัน
ข้อจำกัดอีกประการหนึ่งของ Bridge คือในขณะที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งต้องการส่งข้อมูลไปยังอีกเครื่องหนึ่ง แต่ไม่ทราบ Station Address จะมีการส่งข้อมูล พิเศษที่เรียกว่า Broadcast Frame เข้าไปในเครือข่าย เมื่อข้อมูลนั้นผ่านมาที่ Bridge ก็จะมีการส่งข้อมูล Broadcast นี้ต่อไปยังทุกเครือข่ายย่อยทั้งหมดที่ ตนอยู่ โดยไม่มีการเลือกหรือกลั่นกรองใด ๆ ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายทั้งหมดถูกขัดจังหวะเพื่อรับข้อมูลดังกล่าว ดังนั้นถ้าข้อมูลที่ Broadcast มากก็จะ ทำให้เครือข่ายมีปัญหาเรื่องปริมาณข้อมูลหนาแน่น และความเร็วในการทำงานลดลงได้

ความแตกต่างระหว่าง Bridge and Router ?

      ข้อแตกต่างกัน ระหว่างบริดจ์ (Bridge) เราเตอร์ (Router) และสวิตช์ (Switch)
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่าย และทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูลระหว่างเครือข่าย มีหลายประเภทด้วยกัน อุปกรณ์แต่ละชนิดมีขีดความสามารถแตกต่างกันออกไป อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่ายหลักทั้ง LAN และ WAN ประกอบด้วย บริดจ์ (Bridge) เราเตอร์ (Router) และสวิตช์ (Switch)

      เมื่อต้องการเชื่อมเครือข่ายย่อย ๆ หลาย เครือข่ายเข้าด้วยกัน จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ประกอบที่ทำให้การรับส่งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เชื่อมโยงถึง โดยทั่วไปเรามักใช้ระบบ การรับส่งข้อมูลเป็นชุดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “แพ็กเก็ต” (Packet) ข้อมูลเป็นแพ็กเก็ต สามารถเคลื่อนที่จากต้นทางไปยังปลายทางได้ โดยผ่านอุปกรณ์เลือกเส้นทาง การเลือกเส้นทางสามารถเลือกผ่านทั้งทางด้านเครือข่าย LAN และ WAN โดยปกติมีการกำหนดแอดเดรสของตัวรับและตัวส่ง ดังนั้น จึงต้องมีแอดเดรสปรากฎอยู่ในแพ็คเก็ต อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในเครือข่ายทุกหน่วยจึงมีแอดเดรสกำกับแอดเดรสหรือตำแหน่งที่อยู่มีรูปแบบที่ชัดเจน ได้รับการกำหนดเป็นมาตรฐาน เช่น แอดเดรสที่ใช้ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ใช้รหัสตัวเลข 32 บิต ที่เรียกว่า “ไอพีแอดเดรส” (IP Address) แพ็กเก็ตข้อมูลทุกแพ็กเก็ตจึงมีข้อมูลที่บ่งบอกว่าเป็นข้อมูลที่ส่งมาจากที่ใด และ ปลายทางอยู่ที่ใด การเลือกเส้นทาง..จึงขึ้นอยู่กับแอดเดรสที่กำหนดในแพ็กเก็ต เมื่อแพ็กเก็ตข้อมูลผ่านมายังอุปกรณ์ต่าง ๆ อุปกรณ์เหล่านั้นจะตรวจสอบดูว่า แอดเดรสต้นทางและ ปลายทางอยู่ที่ใด จะส่งผ่านแพ็กเก็ตนั้นไปยังเส้นทางใด เพื่อให้ถึงจุดหมายตามต้องการ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่าย และทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายมีหลายประเภทด้วยกัน อุปกรณ์แต่ละชนิดมีขีดความสามารถแตกต่างกันออกไป อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเชื่อมโยงเครือข่ายหลักทั้ง LAN และ WAN ประกอบด้วย บริดจ์ (Bridge) เราเตอร์ (Router) และสวิตช์ (Switch)